อธิบดีกรมบัญชีกลาง ตรวจเยี่ยมการดำเนินงาน โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการรับจ่ายเงินภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่สำนักงานศุลกากรฯ ท่าเรือแหลมฉบัง วันแรก เพื่อความสะดวกของประชาชนที่เข้ามาชำระภาษี พบมีปัญหาอุปสรรคเพียงเล็กน้อย
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง พร้อมคณะได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมการดำเนินงาน โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการรับจ่ายเงินภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ณ ส่วนบัญชีและอากร (ชั้น 1) สำนักงานศุลกากรเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี โดยมีนายยุทธนา พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ให้การต้อนรับ
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เผยว่า วันนี้ซึ่งเป็นวันแรกที่ประชาชนต้องเดินทางมาชำระเงินค่าบริการต่างๆ ให้แก่หน่วยงานราชการทั่วประเทศ จะต้องใช้ e-Money หรือเงินอิเล็กทรอนิกส์ มาจ่ายแทนเงินสดหรือเช็ค หลังจากกรมบัญชีกลางได้ให้ส่วนราชการเร่งติดตั้งระบบ internet banking เครื่อง EDC และ QR Code แล้ว และจะติดตั้งให้ครบถ้วนภายในเดือนพฤษภาคม 2561 นี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการเข้ามาใช้บริการมากยิ่งขึ้น โดยการชำระเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น ประชาชนสามารถเลือกใช้ได้หลายรูปแบบ เช่น การชำระเงินด้วย Bill Payment บัตรเดบิต หรือ บัตรเครดิต และการชำระเงินผ่าน QR Code รวมถึงการใช้บัตรชำระเงินแบบ e-Moneyขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละท่าน ทั้งนี้ การคิดค่าธรรมเนียมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของธนาคาร
นางสาวสุทธิรัตน์ กล่าวต่อว่า วันนี้ถือเป็นวันแรกที่เปิดให้บริการรับชำระภาษีของกรมผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกและปลอดภัยกับการที่ไม่ต้องพกเงินสดเป็นจำนวนมากมาจ่ายที่หน่วยงาน รวมทั้งยังช่วยสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้สังคมไร้เงินสดเกิดขึ้น
“เพื่อให้การเดินหน้าไปสู่สังคมไร้เงินสดเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน จึงต้องขอความร่วมมือจากประชาชน เมื่อมาทำธุรกรรมทางการเงินกับหน่วยงานราชการ ขอให้นำบัตรหรือเครื่องมือใช้ชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มาด้วยเพื่อใช้ชำระแทนเงินสด ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้ดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการรับจ่ายเงินภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Payment มาใช้กับงานบริการของภาครัฐ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาการบริการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนพร้อมนำประเทศไทยไปสู่สังคมไร้เงินสดในอนาคตนี้“นางสาวสุทธิรัตน์ กล่าว”
สำหรับวันนี้มีหน่วยงานราชการในกระทรวงการคลัง ทั้งสิ้น 7,199 แห่ง นำร่องทั่วประเทศ และในอนาคตหน่วยงานต่างๆ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, รัฐวิสาหกิจ องค์กรมหาชน จะดำเนินการในรูปแบบนี้อนาคตต่อไป เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล