วันนี้ (23 มิ.ย.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดชลบุรี-ระยอง พร้อมด้วยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม และคณะฯ เพื่อติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างท่าเรือ แหลมฉบังระยะที่ 3 ในส่วนงานก่อสร้างงานทางทะเล โดยมีนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือห่างประเทศไทย (กทท.) คณะผู้บริหาร ท่าเรือฯ ผู้ควบคุมงานก่อสร้างโครงการฯ และผู้แทนกิจการร่วมค้า CNNC ร่วมให้การต้อนรับ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวหลังจากได้รับฟังรายงานความคืบหน้าว่า "เมื่อเดือน พ.ย. 66 ได้มาตรวจพื้นที่การก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 พบว่ามีความล่าช้ากว่าแผน แต่ในวันนี้ รองนายกสุริยะ และรองมนพร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ติดตามจนทำให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผนเร่งรัด และความล่าช้าเหลือเพียงไม่ถึง 4% และคาดว่าจะสามารถ Catch Up ได้ภายในสิ้นปี 2568
การมาตรวจงานครั้งนี้เป็นการพูดคุยรายงานผล ปัญหาอุปสรรคกันอย่างตรงไปตรงมา ขณะนี้พบว่ามีปัญหาการขาดแคลนหินที่จะใช้ในการก่อสร้าง จึงสั่งการให้เร่งรัดแก้ไขโดยเร็วและขอเป็นกำลังใจให้กับผู้บริหาร กทท. และทีมงานผู้รับจ้างให้พยายามดำเนินงานทุกอย่างได้ตามแผนงานเพื่อพร้อมเปิดท่าเรือ F1 ตามกำหนด
ด้านนายเกรียงไกร กล่าวเพิ่มเติมว่า จากปัจจุบันผลงานก่อสร้างของผู้รับจ้างยังมีความล่าช้ากว่าแผนฯ แต่ก็มีความคืบหน้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมั่นใจว่าการก่อสร้างงานทางทะเลจะดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนภายใน มิ.ย.69 รวมถึงจะไม่กระทบกับสัญญาของบริษัทเอกชนคู่สัญญาบริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด ที่ กทท. จะต้องมีการส่งมอบเฉพาะพื้นที่งานถมทะเลท่าเทียบเรือ F1 ปัจจุบันมีความคืบหน้าการถมไปกว่า 97% คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกรกฎาคม 2567 นี้ หลังจากนั้นจะมีเวลาอีกประมาณ 1 ปีเศษ ที่จะต้องการตรวจสอบการปรับปรุงคุณภาพพื้นที่ เพื่อเตรียมส่งมอบให้กับบริษัท จีพีซี ได้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568
สำหรับงานส่วนที่ 2 งานก่อสร้างอาคาร ท่าเทียบเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณูปโภค ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างแล้วเสร็จเมื่อเร็วๆ นี้ โดยบริษัทไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคาที่วงเงิน 7,298 ล้านบาท ซึ่งเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางประมาณ 160 ล้านบาท กทท. สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในต้น ก.ค.67 สำหรับงานส่วนที่ 3 งานก่อสร้างระบบรถไฟ มูลค่า 799 ล้านบาท และส่วนที่ 4 งานจัดหาประกอบและติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์สำหรับขนย้ายสินค้า พร้อมออกแบบประกอบและติดตั้งระบบเทคโนโลยีสำหรับบริหารท่าเรือและโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2,257 ล้านบาท ทั้งสองส่วนอยู่ระหว่างการสรรหาผู้รับจ้างจัดทำเอกสารประกวดราคา คาดว่าจะเปิดประมูลได้ในช่วงปลายปี 2567 นี้
โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการรองรับปริมาณตู้สินค้าที่จะเพิ่มขึ้น หากโครงการแล้วเสร็จ และเปิดให้บริการจะสามารถรองรับปริมาณการขนส่งตู้สินค้าได้เพิ่มขึ้นอีก 7 ล้าน ทีอียูต่อปี ประกอบด้วยท่าเรือ F1 จำนวน 2 ล้าน ทีอียูต่อปี ท่าเรือ F2 จำนวน 2 ล้าน ทีอียูต่อปี ท่าเรือ E จำนวน 3 ล้าน ทีอียูต่อปี ซึ่งเมื่อรวมกับขีดความสามารถเดิมของท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 1 และ 2 ที่ 11 ล้าน ทีอียูต่อปี แล้วจะทำให้ท่าเรือแหลมฉบังมีขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าได้ถึง 18 ล้าน ทีอียูต่อปี
ซึ่งในส่วนนี้จะทำให้เพิ่มปริมาณการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟและท่าเรือชายฝั่ง รวมถึงการเชื่อมโยงการขนส่งทางราง กับท่าเรือบกให้เพิ่มมากขึ้นด้วย เป็นการเพิ่มศักยภาพและรองรับการขยายตัวสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ การลงทุนของประเทศอย่างมหาศาล ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ท่าเรือแหลมฉบังเป็นศูนย์กลางการขนส่ง ของภูมิภาค อีกทั้งช่วยสนับสนุนการลดต้นทุนการขนส่งโดยรวมของประเทศจากร้อยละ 14 ของ GDP เหลือร้อยละ 12 ของ GDP สอดรับนโยบายของรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์มุ่งให้ไทย เป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาคต่อไป
สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ส่วนงานที่ 1 งานก่อสร้างงานทางทะเล มีกิจการร่วมค้า CNNC เป็นผู้รับจ้าง มูลค่างานรวม 21,320 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยงานถมทะเลทั้งหมดประมาณ 2,846 ไร่ หรือ 4.5 ล้านตารางเมตร งานขุดลอกร่องน้ำและแอ่งจอดเรือให้มีระดับความลึก 18.5 เมตร และงานเขื่อนกันคลื่น โดย กทท. ได้ออกหนังสือแจ้งให้ผู้รับจ้างเริ่มเข้าดำเนินการก่อสร้างเมื่อ พ.ค.64
ล่าสุดโครงการส่วนที่ 1 งานก่อสร้างงานทางทะเลว่า “ณ เดือน พ.ค. 67 ดำเนินงานได้ 31.12% จากแผนปฏิบัติงาน 35.11% แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะดำเนินงานอย่างเต็มที่ แต่ยังคงล่าช้ากว่าแผน 3.99% ซึ่งผู้ควบคุมงานก็ได้จัดทำแผนเร่งรัดการปฏิบัติงาน โดยเพิ่มเครื่องจักรทางบก ทางน้ำ และแรงงานให้สัมพันธ์กัน เพื่อให้สามารถขุดลอกได้มากกว่า 2,000,000 ลบ.ม. ต่อเดือน ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ได้กำกับดูแลและควบคุมเร่งรัดการทำงานให้ ผู้รับจ้างมีผลงานโดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 3% ต่อเดือน”