วันนี้ (20 พ.ย. 61) ร.ต.ต. มนตรี ฤกษ์เนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง
รักษาการผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย
เป็นประธานเปิดงานการชี้แจงเอกสารการคัดเลือกเอกชน โครงการท่าเรือแหลมฉบังขั้นที่ 3 ในส่วนของท่าเรือเทียบเรือ
หลังจากได้มีประกาศเชิญชวนการคัดเลือกการร่วมลงทุนกับเอกชน
หรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 (Eastern
Economic Corridor) ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ท่าเรือแหลมฉบัง
โดยเปิดขายซองเอกสารไปเมื่อวันที่ 5 - 19 พ.ย. ที่ผ่านมา
ร.ต.ต.
มนตรี ฤกษ์เนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง
รักษาการผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย เผยว่า โครงการท่าเรือแหลมฉบัง
ขั้นที่ 3 นั้น เป็น 1 ใน 5 โครงการสำคัญในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern
Economic Corridor (EEC) ภายใต้วิสัยทัศน์ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งประกอบด้วย การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานท่าเรือและสิ่งอำนวยความสะดวก
จัดให้มีโครงข่ายและระบบการขนส่งต่อเนื่องที่จำเป็นต่างๆ ให้เพียงพอ
และมีความพร้อมที่จะรองรับการขยายตัวของปริมาณสินค้าทางเรือ การขนส่งทางรถไฟ และสินค้าประเภทต่างๆ
ได้ทันท่วงที
โดยกำหนดเป้าหมายให้เป็นท่าเรือล้ำสมัย
ในการบริหารจัดการด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัย
ตลอดจนผสมผสานให้เป็นท่าเรือที่มีความสำคัญกับสภาพแวดล้อม ดังนั้น การท่าเรือฯ
จึงมีความจำเป็นจะต้องพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 ให้สามารถรองรับการขนส่งสินค้าทางรถไฟที่สูงขึ้น
โดยการขนถ่ายด้วยเครื่องมือขนสินค้าประเภทตู้คอนเทนเนอร์ที่ทันสมัย Automation
ภายใต้รูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (ppp)
การท่าเรือฯ
ได้ดำเนินการประกาศเชิญชวนให้เอกชนผู้สนใจเข้าร่วมบริหารและประกอบการในโครงการท่าเรือแหลมฉบัง
ระยะที่ 3 ในวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา และเปิดขายซองเอกสารเมื่อ วันที่ 5 -19 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งมีเอกชนที่ให้ความสนใจจำนวน ทั้งที่เข่ามาสอบถาม
และเข้ามาซื้อเอกสารทั้งสิ้น 32 ราย โดยมาจากทุกมุมโลก
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายืนดี ที่มีผู้นักลงทุนสนใจ
ที่จะเข้ามาทำงานร่วมกับท่าเรือแหลมฉบังมากขนาดนี้ อาจเป็นเพราะการประชาสัมพันธ์ที่ประสบผลสำเร็จ
โดยได้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านไปทางสถานทูต
รวมถึงภาพรวมของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่ง
โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังขั้นที่ 3 เป็น 1 ใน 5 โครงการหลัก
จึงอาจเป็นแรงจูงใจในการตัดสินเข้าร่วมลงทุนกับท่าเรือแหลมฉบัง
“โดยในวันนี้เราได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนที่สนใจซื้อซอง
มาสอบถามข้อสงสัยต่างๆ และหลังจากนี้
จะเปิดโอกาสให้ส่งข้อสงสัยและสักถามได้ทางอีเมลโดยจะส่งมาได้จนถึงวันที่ 30 พ.ย. หลังจากนั้นก็จะรวบรวบคำถามทั้งหมด
มาตอบทุกข้อข้องใจแล้วพิมพ์แจกให้กับทุกคน โดยทุกคนจะได้รู้ทุกคำถาม-ตอบ
ทั้งหมดพร้อมกัน”
สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่
3 ประกอบด้วย ท่าเทียบเรือตู้สินค้า จำนวน 4 ท่า (ท่าเรือ E1 E2 F1 F2) ความจุ 7 ล้านตู้ต่อปี มูลค่าลงทุน 1.1 แสนล้านบาท
โดยจะเปิดประมูลพัฒนาท่าเรือ F1 F2 ก่อน ซึ่งมีความยาวหน้าท่ารวม
2,000 เมตร รองรับได้ 4
ล้านทีอียูต่อปี ทั้งนี้
ขึ้นอยู่กับนักลงทุนที่อาจพัฒนาและใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มขีดรองรับเป็น 5-6 ล้านทีอียูต่อปีก็ได้ ส่วนท่าเรือ E1 E2
จะเปิดประมูลหานักลงทุนหลังจากนี้อีก 6-7 ปี
โดยการท่าเรือฯ
จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ก่อสร้างท่าเทียบเรือมาตรฐาน การขุดลอกร่องน้ำ ถนน
ราง ระบบ ไฟฟ้า ประปา ทั้งหมด ลงทุนประมาณ 5
หมื่นล้านบาท โดยในช่วง 2 ปีแรกจะเร่งพัฒนาพื้นที่ F ก่อน วงเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท
เพื่อเร่งส่งมอบให้เอกชนไปพัฒนาต่ออีกประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
เพื่อเปิดให้บริการได้ในปี 66-67 โดยในส่วนของพื้นที่ F
มีอายุสัมปทาน 35 ปี
สำหรับปริมาณสินค้าของท่าเรือแหลมฉบังในปี
2561 มีประมาณ 8 ล้านทีอียู
เติบโตจากปีก่อน 4% โดยในปี 60 ที่มี 7.6
ล้านทีอียู คาดว่าปี 2562 การเติบโตจะอยู่ที่ประมาณ
4-5% ซึ่งอัตราเติบโตที่ผ่านมาเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งมองว่าการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
(EEC) จะเริ่มส่งผลให้มีสินค้าเพิ่มในอีก 2-3 ปีข้างหน้าแบบก้าวกระโดด ดังนั้น การท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 จะสามารถเสร็จทันและรองรับปริมาณสินค้าที่เพิ่มขึ้นได้พอดี
หากล่าช้ากว่านั้นจะเกิดปัญหาความแออัดได้